หนึ่งในความเสื่อมซึ่งมาพร้อมกับวัยที่มากขึ้นคือความเสื่อมสลายของมวลกระดููกที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่่ “โรคกระดููกพรุุน” ภัยเงียบที่่หลายคนไม่่รู้้ตัว เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีสัญญาณเตือน ไม่แสดงอาการกระทั่ง กระดููกหักไปแล้วจึงรู้ว่า่กำลังเผชิญกับภาวะกระดูกพรุน เกี่่ยกับเรื่องนี้ทีมแพทย์สหสาขาจากคลินิกรักษาโรคกระดูกพรุน โรงพยาบาลจุุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ข้อมูล ว่าอันตรายของโรคนี้คือกระดููกเปราะหักง่าย โดยเฉพาะในจุดสำคัญของร่างกายอย่างกระดูกสะโพก และกระดูกสันหลังที่เมื่อหักแล้วจะมีผลเสียตามมามากมาย ฉะนั้นควรตระหนักถึงความเสี่ยงและให้ความสำคัญในการป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะหากรอให้รู้ตัวเมื่อกระดููกหักก็อาจสายเกินไปเสียแล้ว
ทำไมกระดููกถึงพรุนเมื่ออายุมากขึ้น
ตามปกติทั่วไปมวลกระดููกของคนเราจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ โดยจะมีการสร้างใหม่และสลายไปตลอดเวลาตามกระบวนการเติบโตของร่างกาย และค่ามวลกระดูกจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด (Peak Bone Mass หรือ PBM) แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ในช่วงวัย 30 ปี แต่เมื่ออายุมากขึ้น หรือผู้หญิง ที่หมดประจำเดือนแล้ว กระบวนการสร้างมวล กระดูกจะลดลง
สวนทางกับกระบวนการสลายมวลกระดูกที่่เพิ่มขึ้น ทำให้ความแข็งแกร่งหรือความแข็งแรงของกระดูกลดลงตามจนอาจนำไปสู่ภาวะกระดูกพรุนได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระดูกพรุน
รศ.พญ.ลลิตา วัฒนะจรรยา สาขาวิชาต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย อธิบายว่า “โรคกระดูกพรุนแบ่งเป็นสองรูปแบบ คือ กระดูกพรุนแบบปฐมภูมิ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติในผู้สูงวัย และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และแบบที่สองคือกระดูกพรุนแบบทุติยภูมิ ที่มีเหตุปัจจัยจากภาวะอื่นๆ
เป็นต้นว่า การมีโรคประจำตัว เช่น โรครูมาตอยด์ โรคเบาหวาน การใช้ยาบางกลุ่ม เช่น สเตียรอยด์ ยากดฮอร์โมนเพศ ฯลฯ อย่างไรก็ ตามทั้งสองแบบสามารถเกิดร่วมกันได้ เช่น ผู้สูงอายุที่มวลกระดูกลดลงตามวัยอยู่แล้วอาจลดลงเร็วขึ้นจากโรคประจำตัวส่วนใหญ่โรคกระดูกพรุน มักไม่มีอาการเตือนดังนั้นการจะรู้ว่า กระดูกพรุนหรือไม่ ก็ต้องเข้ารับการตรวจความหนาแน่นของกระดูกบริเวณกระดููกสันหลังและกระดูกสะโพก” โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการตรวจ ได้แก่
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและผู้ชายที่อายุุเกิน 50 ปี ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่่น มีโรคประจำตัวหรือใช้ยาที่อาจส่่งผลต่อมวล กระดูก ในครอบครัวมีประวัติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนหรือผู้ที่เคยกระดููกหักจากภยันตรายที่ไม่รุุนแรง
- สำหรับคนที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 65 ปี และผู้ชายอายุ 70 ปี ขึ้นไปเข้ารับการตรวจด้วยเช่นกัน
อันตรายแค่ไหน รักษาอย่างไร
อันตรายของโรคกระดูกพรุนคือกระดูกเปราะบางแตกหักง่าย เพียงแค่ล้มเบาๆ ก็อาจหักได้ทันทีสำหรับ
การรักษา อ.นพ.โชติตะวันณ ตนาวลี อาจารย์หน่วยเมตาบอลิกและโรคกระดูกในผู้สูงอายุ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า “การรักษากระดูกพรุนที่ยังไม่มีอาการหัก ทำได้ด้วยการกินยาควบคู่กับวิตามินดีและแคลเซียม เพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูก แต่หากกระดูกหักแล้วต้องรักษาการหักตามความรุนแรงทีเกิดขึ้น ควบคู่กับการรักษากระดูกพรุนซึ่งจะเข้มข้นขึ้นด้วยการให้ยาแบบฉีดและมีการตรวจประเมินที่ถี่กว่า ค่าใช้จ่ายในการรักษาเมื่อกระดูกหักแล้วจึงสูงกว่าการรักษาโรคกระดูกพรุนที่ยังไม่มีการหักค่อนข้างมาก ”ดังนั้นทางที่ดี ควรดูแลสุขภาพและกำจัดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคตั้งแต่ยังมีโอกาส แต่หากไม่ทันการณ์ คือเป็นโรคกระดูกพรุนไปแล้ว ก็ยังป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้โดยเฉพาะการล้ม ด้วยการเสริมความแข็งแรงของร่างกาย รวมถึงจัดการปัจจัยเสี่ยงให้ดีทั้งปัจจัยเสี่ยงภายในอย่่างการดูแลรักษาโรคประจำตัวต่างๆ และปัจจัยเสียงภายนอกทั้งการจัดบ้าน การใส่ใจเรื่องพื้นและแสงสว่าง เป็นต้น
จุดหักอันตรายและพบบ่อย
ตำแหน่งที่หัก | ลักษณะและผลเมื่อมีการหัก | การรักษา |
---|---|---|
กระดูกสะโพก | เมื่่อหักแล้วจะทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดังเดิมและในผู้สูงวัยบางรายเมื่อกระดูกสะโพกหักอาจเกิดโรคแทรกซ้อนจนทำให้เสียชีวิตได้ | อาจต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม หรือผ่าตัดเพื่อยึดตรึงกระดูกให้ติดกันซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามรายละเอียดการหักและปัจจัยส่วนตัวของผู้ป่วย |
กระดูกสันหลัง | การหักของกระดูกสันหลังในผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนสามารถหักแบบซ่อนเร้นที่ค่อยๆ ยุบลงโดยไม่รู้ตััว ไม่มี อาการปวด ในรายที่กระดูกสันหลังยุบตัวเยอะจะหลังงอ เดินไม่ปกติ หายใจไม่สะดวก | ถ้ากระดูกสันหลังหักอาจเชื่อมติดเองได้ในรายที่หักแล้วยังมีความปวด ความผิดรูปของลำตัวไม่มากอาจรักษาด้วยการใส่อุปกรณ์พยุงควบคู่กับการให้ยา แต่ถ้ามีอาการปวดมากและ แนวลำตัวผิดรูปมาก จำเป็นต้องทำการผ่าตัดแก้ไข |
กระดูกข้อมือ | เป็นจุดที่พบการหักได้หลังจากหกล้ม เพราะเมื่อล้มคนเรามักจะใชมือยันพื้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระแทก เลย ทำให้ข้อมือหักได้ | พิจารณาตามความรุนแรง หากหักไม่รุนแรงสามารถใส่เฝือกรักษาได้ แต่ถ้าหักเข้าข้อต่อหรือทรุดตัวเยอะ ต้องทำการผ่าตัดแก้ไข |
จะป้องกันกระดูกพรุนได้อย่างไร ?
“แม้ภาพรวมของมวลกระดูกจะถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่ก็สามารถเสริมสร้างให้แข็งแรงได้ตั้งแต่เด็ก ด้วยการให้ความสำคัญในเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง พึ่งตระหนักไว้เสมอว่าไลฟ์ สไตล์ที่ดีจะช่วยให้มีมวลกระดูกสูงสุดได้ตามพันธุกรรมของแต่ละคน และจะช่่วยชะลอความเสื่อมของกระดูกเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นด้วย” ผศ.พญ.จิรภา แจ่มไพบูลย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้ำว่าการดูแลกระดูก
ให้แข็งแรงสามารถทำได้พร้อมแนะนำแนวทางป้องกันกระดูกพรุนไว้ ดังนี้
ป้องกันด้วยการกิน :
กินอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม ที่แนะนำคือนม เพราะเป็นแคลเซียมที่ร่างกายดูดซึมได้ดี นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ ผักใบเขียว ซึ่งมีแคลเซียมมากเช่นกัน ส่วนวิตามินดีที่ได้จากแสงแดดนั้น หากประเมินแล้วพบว่า อยู่ระดับที่ไม่เพียงพอ อาจกินวิตามินดีแบบเสริมร่วมด้วย
ออกกำลังกายเสริมมวลกระดูก :
สำหรับผู้สูงอายุควรออกกำลังกายแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย รวมถึงฝึกออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการทรงตััว แต่ต้องระวังในบางท่าที่อาจเสี่ยงต่อการล้มและเกิิดการบาดเจ็บ ส่วนคนที่กระดูกพรุนหรืออยากป้องกันกระดูกพรุน การเดินหรือจ็อกกิ้งเบาๆ ให้มีแรงกระแทกส่งไปที่กระดูกจะช่วยชะลอการสูญเสียของมวลกระดูกได้
พฤติกรรมเสี่ยง :
การบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย นอกจากนี้เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน อย่างชา กาแฟ น้ำอัดลม ก็ทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะมากขึ้น ในผู้ที่บริโภคสิ่งเหล่านี้เป็นประจำต้องคำนึงถึงปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายได้รับให้เพียงพอด้วย
โอกาสเสี่ยงของผู้หญิงและการป้องกันด้วยฮอร์โมนทดแทน
สำหรับ ผู้หญิง อ.พญ.นลินา ออประยูร ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่ามีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย “เนื่องจากมวลกระดูกสูงสุดของผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย และเมื่ออายุมากขึ้นถึงวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโทรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญต่อการรักษามวลกระดูกจะหมดไป ทำให้สูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว” ดังนั้้นผู้หญิงจึงต้องสังเกตและใส่ใจปัญหาที่เกี่ยวกับฮอร์โมนเพศหญิงให้ดีตั้งแต่วัยรุ่น และวัยทำงาน เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการสะสมมวลกระดูก หากมีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติซึ่งอาจแสดงถึงภาวะพร่องฮอร์โมนเอสโทรเจน ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ในการหาสาเหตุและทำการรักษา รวมถึงผู้ที่่หมดประจำเดือนก่อนธรรมชาติจาก
ปัญหาทางสุขภาพ เช่น การผ่าตัดรังไข่ หรือการได้รับเคมีบำบัดที่ทำให้รังไข่หยุดทำงานเร็วกว่าปกติ ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู ้ทำการรักษาว่าต้องได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อป้องกันมวลกระดูกเสื่อมเร็วก่อนกำหนดหรือไม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้การใช้ฮอร์โมนทดแทนในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนจะเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกััชนไม่ให้กระดูกพรุนได้ แต่ก็มีข้อควรระวังแลแนวทางการใช้ที่อาจมีความแตกต่างกันไปในผู้หญิงแต่่ละคนจึงต้องเข้ารับการประเมินจากแพทย์ก่อนเสมอ
หากสนใจตรวจมวลกระดููกหรือปรึกษาเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนสามารถติดต่่อขอเข้ารับบริการได้ที่คลินิกรักษาโรคกระดูกพรุน ในคลินิกวัยทอง เปิดให้บริการทุกวันพุธที่สองของเดือน เวลา 13.00-15.00 น. ทีมแพทย์สหสาขาของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พร้อมให้คำปรึกษา อย่าปล่อยให้กระดูกพรุนเป็นปัญหาใหญ่เกินแก้ในภายหลัง
ข้อมููลโดย :
รศ.พญ.ลลิตา วัฒนะจรรยา
สาขาวิชาต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ.นพ.โชติตะวันณ ตนาวลี
อาจารย์หน่วยเมตาบอลิกและโรคกระดูกในผู้สูงอายุ
ภาควิชาออร์โธปิดิกส์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิิทยาลัย
ผศ.พญ.จิรภา แจ่มไพบููลย์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ.พญ.นลินา ออประยููร
หน่วยวัยหมดระดูและสุขภาพสตรีสูงอายุภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย