โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

Search
Close this search box.

ความคืบหน้าการทดสอบวัคซีน ChulaCov 19 ระยะที่ 1

วัคซีน ChulaCov19 เป็นวัคซีนชนิด mRNA สัญชาติไทย เมื่อฉีดวัคซีนเข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นให้เซลล์สร้างโปรตีนส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (Spike Protein) ทำให้ร่างกายรู้จักและสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโควิด-19 ซึ่งสาร mRNA ที่อยู่ในวัคซีนจะถูกทำให้สลายไปภายในไม่เกิน 6 วัน โดยไม่สะสมในร่างกาย

ผลการทดสอบวัคซีน ChulaCov19 ระยะที่ 1

  1. อาสาสมัครมีระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิด-19 ดี กระตุ้นแอนติบอดีได้สูงมากรวมถึงสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดที-เซลล์ ซึ่งช่วยกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสที่อยู่ในเซลล์ของผู้ติดเชื้อได้เชื้อกลายพันธุ์ทั้ง 4 สายพันธุ์ ได้แก่ แอลฟา (อังกฤษ)
  2. วัคซีนสามารถป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม (อู่ฮั่น) และป้องกัน เบตา (แอฟริกาใต้) แกมมา (บราซิล) และเดลตา (อินเดีย)
  3. จากการติดตามอาการในกลุ่มอาสาสมัครหลังฉีดวัคซีนครบ 7 วันพบว่ามีอาการข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง ส่วนใหญ่เกิดอาการขึ้นหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด เพลีย ไข้ หนาวสั่นและหายได้เองภายใน 1-3 วัน

จุดเด่นของวัคซีน ChulaCov19

  1. สามารถจัดเก็บในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือนและจัดเก็บในอุณหภูมิห่อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ ทำให้เก็บรักษาได้ง่ายมากกว่าวัคซีนชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น
  2. ผลการทดสอบในหนูทดลองผ่านเกณฑ์ดีมาก สามารถป้องกันอาการป่วยและยับยั้งไม่ให้เชื้อโควิด-19 เข้าสู่กระแสเลือด ลดจำนวนเชื้อไวรัสในจมูกและปอดรวมทั้งมีความปลอดภัยจากการทดสอบความเป็นพิษ
  3. สามารถผลิตได้เร็ว เนื่องจากวัคซีนชนิด mRNA ไม่จำเป็นต้องเพาะเลี้ยงเชื้อเพียงทราบสายพันธุ์ของเชื้อก็สามารถผลิตวัคซีนได้ ไม่ต้องใช้โรงงานขนาดใหญ่และหากเกิดเชื้อกลายพันธุ์ในอนาคตจะสามารถสังเคราะห์วัคซีนรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

การทดสอบวัคซีน ChulaCov 19 ระยะต่อไปจะเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2 ในกลุ่มอาสาสมัคร จำนวน 150-300 คน โดยจะเริ่มก่อนสิ้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 และทำการทดสอบเพิ่มเติม เช่น ระยะที่ 2 บี หรือระยะที่ 3 ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยมีเป้าหมายขึ้นทะเบียนในเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 หากเป็นไปได้

ข้อมูล ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2564
ที่มา : ศ. นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม

ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์