1. ไม่จำเป็นต้องหยุดยาป้องกันปวดศีรษะไมเกรน เพราะอาจทำให้ปวดศีรษะเป็นถี่ขึ้น ได้แก่
- ยากลุ่มยากันชัก เช่น Topiramate, Valproic Acid
- ยากลุ่มต้านแคลเซียม เช่น Flunarizine
- ยากลุ่มต้านเบต้า เช่น Propranolol
- ยากลุ่มยาต้านเศร้า รวมทั้งยากลุ่ม SรRI เช่น Sertraline, Fluoxetine
- ยาป้องกันไมเกรนชนิดอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ
(ยากลุ่ม SSRI จะยับยั้งปัจจัยส่งเสริมการอักเสบ อาจจะไปลดการสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ยังไม่มีงานวิจัยถึงผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันโดยตรง)
2. ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้รับประทานเมื่มีอาการแล้วเท่านั้น โดยยาแก้ปวดดังกล่าว ได้แก่
- ยา Acetaminophen
- ยากลุ่ม NSAIDS
ยา Acetaminophen และยากลุ่ง NSAIDs เป็นยาลดการอักเสบ อาจมีผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน มีงานวิจัยของบริษัทแอสตร้า เซนเนก้า โดยให้ยา Acetaminophen ก่อนฉีดวัคซีนโควิด-14 เพื่อป้องการเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ปรากฎว่าไม่มีผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ
3. ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของ Ergotamine และยาในกลุ่มทธิปแทนก่อนและหลังการฉีดวัคซีน เนื่องจากมีผลทำให้หลอดเลือดหดตัว
4. ข้อแนะนำผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรน ก่อนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน
5. อาการผิดปกติทางระบบประสาทชั่วคราว เช่น อาการชา หรืออาการอ่อนแรงเล็กน้อยที่พบได้หลังดวัคซีน เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีน หรืออาจเกี่ยวข้องกับโรคปวดศีรษะไมเกรนชนิดมีอาการเตือนแต่เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ทางโรงพยาบาลกำลังศึกษาถึงสาเหตุที่แท้จริง
คำแนะนำจากแพทย์
- หากมีอาการปวดศีรษะรุนแรง ซึ่งแตกต่างจากอาการปวดไมเกรน หรือมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทอื่น เช่น อาการอ่อนแรงครึ่งซีก ตามัว ชัก ควรรีบพบแพทย์
- หากมีความกังวลใจในการใช้ยารักษาไมเกรน ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล เพื่อวางแผนในการใช้ยาควบคู่กับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
(วัคซีนโควิด-1 9 มีหลายชนิด แตกต่างกันในการพัฒนาและการผลิต บางชนิดพัฒนาขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่)
ข้อมูล ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2564
ที่มา : รศ. ดร. นพ.รนินทร์ อัศววิเชียรจินดา และศูนย์ประสาทศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์