Search
Close this search box.

หน่วยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ฝ่ายรังสีวิทยา

Nuclear Medicine

สร้างเสริมคุณภาพชีวิตและสำนึกที่ดีต่อสังคมของบุคลากร ผลิตผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ เพื่อเป็นที่ยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ

หน่วยไอโซโทปส์ แผนกรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2502 ด้วยความช่วยเหลือของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างชาติ (IAEA) โดยส่ง Mr. Norman Veall แห่ง Guy’s Hospital, London เข้ามาปฏิบัติงานอยู่ในประเทศไทย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการใช้สารเรดิโอไอโซโทปส์ในทางการแพทย์ โดย Mr. Norman Veall ได้เป็นผู้แนะนำในการจัดหาเครื่องมือ วางโครงงาน และช่วยเหลือในการปฏิบัติงานอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อเริ่มงานตอนแรกนั้น ทางแผนกรังสีวิทยาไม่มีงบประมาณสำหรับตั้งหน่วยไอโซโทปส์เลย โอรสและธิดา ของ ม.ร.ว. โต จิตรพงศ์ ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้บริจาคเงินให้ซื้อเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติงานไอโซโทปส์ คือ 1) อุปกรณ์ตรวจวัดที่ประกอบด้วยผลึก NaI ขนาด 1″ x 1″, 2) เครื่องวัดรังสีเบต้าจากตัวอย่างที่เป็นของเหลว และ 3) ขาตั้งสำหรับอุปกรณ์ตรวจวัด และเนื่องจากแผนกรังสีวิทยายังไม่มีสถานที่ จึงได้อาศัยส่วนหนึ่งของห้องชั้นล่าง ของโรงเรียนเทคนิคการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เป็นห้องปฏิบัติการไอโซโทปส์ ทั้งนี้ด้วยความเอื้อเฟื้อของคณะเทคนิคการแพทย์ นอกจากเอื้อเฟื้อสถานที่แล้วยังได้กรุณาให้ยืม Scaler 1 เครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเครื่องแก้วและอุปกรณ์อื่นๆในห้องปฏิบัติการอีกด้วย

งานเริ่มแรกของหน่วยไอโซโทปส์นี้ คือการตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ และรักษาผู้ป่วยโรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษด้วยเรดิโอแอคตีฟไอโอดีน ตรวจหาสาเหตุโรคน้ำในช่องปอด โดยใช้เรดิโอแอคตีฟฟอสฟอรัส การใช้เรดิโอแอคตีฟโบรมีน ในการหา Extracellular Fluid ในคนปกติ และการหา Red Blood Cell Survival โดยใช้เรดิโอแอคตีฟโครเมี่ยม

กิจการได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ทั้งในด้านบริการของโรงพยาบาล และด้านค้นคว้าวิจัย จึงจำเป็นต้องย้ายห้องปฏิบัติการจากชั้นล่างของตึกเทคนิคการแพทย์ไปอยู่ชั้น 3 เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2503 ซึ่งมีพื้นที่มากขึ้นเป็นห้องปฏิบัติการและห้องทำงานของหน่วยไอโซโทปส์ และประมาณช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น Mr. J.D. Pearson แห่ง Guy’s Hospital London ผู้เชี่ยวชาญการใช้สารเรดิโอแอคตีฟทางการแพทย์อีกผู้หนึ่งของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างชาติ ได้เข้ามาช่วยเหลือและให้คำแนะนำประจำอยู่ที่หน่วยไอโซโทปส์ เป็นเวลาประมาณ 1 ปี ตลอดระยะเวลานี้ Mr. J.D. Pearson ได้ช่วยเหลือในด้านการปฏิบัติงาน แนะนำในการจัดหาเครื่องมือเพิ่มเติม ได้ให้การบรรยาย และสอนแพทย์ในโรงพยาบาลจุฬาฯ ในวิชาที่ว่าด้วยการใช้เรดิโอไอโซโทปส์ในทางการแพทย์ กิจการของหน่วยไอโซโทปส์ ได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ทางแผนกรังสีวิทยาก็ได้รับงบประมาณจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เพื่อซื้อเครื่องมือใช้เพิ่มขึ้น

ปี พ.ศ. 2506 ได้มีการเปิดตึกใหม่คือ ตึกสวัสดิ์-ล้อม โอสถานุเคราะห์ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง การเสด็จนิวัติกลับจากยุโรปและอเมริกาในปี 2503 ดังนั้นหน่วยเรดิโอไอโซโทปส์ จึงได้ย้ายมาอยู่ที่ตึกใหม่นี้ การที่มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ทำให้สามารถขยายงานทั้งด้านการตรวจรักษา และการวิจัยมากขึ้น ในปี 2507 จึงได้มีการใช้เรดิโอแอคตีฟโกลด์ชนิดเม็ดในการรักษามะเร็งของช่องปาก กระเพาะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะ และใช้เรดิโอแอคตีฟไอโอดีนในการรักษามะเร็งของต่อมไทรอยด์ ในเวลาเดียวกันนั้นเครื่อง Rectilinear scanner (Picker®) เครื่องแรกของหน่วยก็ได้รับการติดตั้ง โดยใช้ในการตรวจไทรอยด์และตับเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในช่วงนั้นทางหน่วยเรดิโอไอโซโทปส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีบุรุษพยาบาลทำหน้าที่ให้สารกัมมันตรังสีแก่ผู้ป่วยภายใต้การควบคุมของรังสีแพทย์ ควบคุมเครื่องอัพเทคและเครื่องสแกน และมีนักวิทยาศาสตร์ทำการตรวจเลือดในห้องปฏิบัติการ และช่วยดูแลงานสแกนภาพทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์

ในปี พ.ศ. 2518 หน่วยเรดิโอไอโซโทปส์ได้ย้ายมาอยู่ที่ตึกโปษยานนท์ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา งานด้านการศึกษาวิจัยและการเรียนการสอนจึงสามารถขยายออกไปได้อย่างกว้างขวาง ส่วนงานด้านการรักษาพยาบาลนอกจากให้บริการแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้ว ยังให้บริการแก่แพทย์จากสถาบันอื่นๆอีกด้วย และยังมีการเริ่มงานห้องปฏิบัติการ Radioimmunoassay และ Immunoradiometric assay ซึ่งให้บริการตรวจหาฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ tumor marker และ serum iron นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งห้องปลอดเชื้อเพื่อติดฉลากเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว และยังใช้สำหรับเตรียมและผลิตสารเภสัชรังสี ซึ่งสารเภสัชที่ผลิตได้เอง เช่น DTPA, DMSA, MDP, Phytate เป็นต้น

เมื่อมีการให้บริการที่หลากหลายขึ้น จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก “หน่วยเรดิโอไอโซโทปส์” เป็น “สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์” เพื่อให้สามารถครอบคลุมวิทยาการที่หลากหลายมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2529 เริ่มมีนักรังสีเทคนิคมาปฏิบัติงานทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆที่นำเข้ามาใช้ในสาขาฯ ซึ่งในขณะนั้นคือเครื่อง SPECT (Single Photon Emission Computed Tomography) ซึ่งได้ติดตั้งในปี พ.ศ. 2531 บุคลากรต่างๆได้รับการสนับสนุนให้ไปฝึกอบรมในระดับชาติและนานาชาติ (IAEA fellowship) ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนางานรังสีเทคนิคสำหรับงานเวชศาสตร์นิวเคลียร์ และในปี 2531 นั้นเองที่ทางสาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เริ่มเปิดหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ เป็นครั้งแรกในประเทศไทยพร้อมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งทำให้วิทยาการทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ในประเทศไทยเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

เมื่องานบริการทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์มีมากขึ้น จึงมีความต้องการบุคลากรทางด้านนี้มากขึ้น ทางสาขาฯได้บรรจุแพทย์ที่จบการศึกษาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์แทนแพทย์อาวุโสที่เกษียณไปอย่างสม่ำเสมอ สำหรับนักรังสีเทคนิคนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 โรงเรียนรังสีเทคนิค โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาเพื่อเข้าศึกษาหลักสูตรรังสีเทคนิคเพื่อมาปฏิบัติงานในสาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์เมื่อเรียนจบอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีศักยภาพทั้งการให้บริการและทางด้านวิชาการในงานเวชศาสตร์นิวเคลียร์ จนได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติ โดยในปี พ.ศ. 2556 และปี พ.ศ. 2560 สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้รับการรับรองมาตรฐาน Quality Management Audits In Nuclear Medicine (QUANUM) ครั้งที่ 1 และ 2 ตามลำดับ จากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)

วิสัยทัศน์

สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้บริการด้วยมาตรฐาน มีคุณภาพและคุณธรรม บริหารจัดการให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ สร้างเสริมคุณภาพชีวิตและสำนึกที่ดีต่อสังคมของบุคลากร ผลิตผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ เพื่อเป็นที่ยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ

พันธกิจ

สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีพันธกิจ ดังนี้

  • ให้บริการการตรวจและรักษาด้วยวิธีการทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ อย่างมีมาตรฐาน ปลอดภัยและสามารถอ้างอิงได้
  • ผลิต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ นักฟิสิกส์การแพทย์และนักรังสีการแพทย์ ที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นบุคลากรที่จะนำความรู้ความสามารถ ไปให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป ไปให้ความรู้และสอนบุคลากรทางการแพทย์อื่น
  • เป็นสถานที่ศึกษาฝึกอบรมและดูงานของบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งในและต่างประเทศ

รางวัลและความภาคภูมิใจศูนย์

1. ด้านงานวิชาการ

เวชศาสตร์นิวเคลียร์ จุฬาฯ เป็นแกนนำในด้าน Nuclear Neurology ของประเทศ โดยได้จัด National Training Course in Nuclear Neurology  2 ครั้งในปี 2560 และ 2561,  ตีพิมพ์หนังสือ “เวชศาสตร์นิวเคลียร์ในโรคสมอง” ในปี 2561 ซึ่งเป็นหนังสือเวชศาสตร์นิวเคลียร์ในโรคสมองเล่มแรกของประเทศไทย และเป็นแกนนำในการจัดทำแนวเวชปฏิบัติการส่งตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ในระบบประสาท ในนาม สมาคมเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ร่วมกับ สมาคมประสาทวิทยา, ราชวิทยาลัยประสาทศัลยแพทย์ และสมาคมนักฟิสิกส์การแพทย์ ในปี 2562-2564

        เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้แก่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์  ทางสาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ได้ร่วมมือกับสาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยาในการจัดทำตำราชือ “รังสีวิทยา: เวชศาสตร์นิวเคลียร์ รังสีรักษาและมะเร็งวิทยา” ซึ่งตำราเล่มนี้นับเป็นตำราภาษาไทยเล่มแรก ๆ ที่กล่าวถึงวิทยาการทางด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ รังสีรักษาและมะเร็งวิทยา อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ครอบคลุมโรคที่พบบ่อย เหมาะสำหรับนักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ประจำบ้านใช้ประกอบการเรียน ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และบุคคลที่สนใจทั่วไป

2. ด้านงานบริการ

เวชศาสตร์นิวเคลียร์ จุฬาฯ ตระหนักถึงความสำคัญในคุณภาพของการให้บริการโดยมุ่งเน้นผู้ป่วยเป็นจุดกลางและการดูแลอย่างเอื้ออาทร จึงจัดให้มีโครงการชื่อว่า “สร้างสุขทุกนาที…เพื่อผู้ป่วยเด็กระหว่างการรอตรวจ” ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา   ซึ่งโครงการดังกล่าวทำให้ผู้ป่วยเด็กและผู้ปกครองเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด ความกลัวและความวิตกกังวล ส่งผลให้ผู้ป่วยเด็กให้ความร่วมมือในการตรวจ

โดยโครงการนี้ได้รับรางวัลชมเชยและรางวัลขวัญใจมหาชน” จากการประกวดโครงการพัฒนาคุณภาพงาน ประจำปี 2562 จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

3. ด้านงานวิจัยและนวัตกรรมสู่ประชาชน

เวชศาสตร์นิวเคลียร์ จุฬาฯ เน้นถึงความสำคัญในพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม โดยเฉพาะ “การพัฒนางานประจําสู่งานวิจัย (Routine to Research)”  ซึ่งผลลัพธ์ของงานวิจัย/นวัตกรรมดังกล่าว จะนำมาซึ่งการปรับปรุงกระบวนการทํางานและการบริการให้ดีขึ้น   ที่ผ่านมาสาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ได้พัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับอุปกรณ์ในการประคบเย็นสำหรับผู้ป่วย  เรียกว่าหน้ากากประคบเย็น “CARE MASK” โดย ผศ.พญ. คนึงนิจ กิ่งเพชร (อนุสิทธิบัตรเลขที่ 13043)    หน้ากากนี้ใช้สำหรับประคบเย็นบริเวณต่อมน้ำลาย เพื่อช่วยลดอาการปวดและบวมของต่อมน้ำลายที่เกิดการอักเสบจากการรักษาด้วยสารรังสีไอโอดีนในผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ลดอาการปวดและบวมของฟันและเหงือกภายหลังการผ่าตัดทางทันตกรรม ลดอาการปวดและบวมบริเวณกรามและคางภายหลังการผ่าตัด โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องใช้มือในการประคองอุปกรณ์ให้ความเย็นในระหว่างทำการประคบ  ทำให้ผู้ป่วยสามารถทำงานหรือกิจวัตรต่างๆได้ในขณะที่ทำการประคบเย็น

โครงสร้างของศูนย์

การให้บริการของศูนย์

1. การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์

เป็นการตรวจทางรังสีวิทยาซึ่งช่วยในการวินิจฉัยโรคในผู้ป่วยที่มีอาการบ่งชี้ทางคลินิก โดยมีข้อดีที่สำคัญคือสามารตรวจได้ถึงระดับโมเลกุลซึ่งเป็นโครงสร้างที่เล็กที่สุดของร่างกาย แพทย์จึงสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มของโรค และวางแผนการรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

การเตรียมตัวก่อนตรวจ การตรวจรักษาทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์มีวิธีการที่หลากหลายตามอวัยวะที่จะตรวจ จึงต้องการการเตรียมตัวที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยควรสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่และแพทย์ที่ทำการตรวจรักษา และศึกษาข้อควรปฏิบัติจากเอกสารคำแนะนำให้ครบถ้วนตามการตรวจแต่ละประเภทวิธีการตรวจ

2. การตรวจความหนาแน่นของกระดูก

เป็นการตรวจจะใช้เครื่องที่เรียกว่า Bone densitometer ซึ่งเป็นเครื่องมือการตรวจทางรังสีชนิดหนึ่ง เครื่อง Bone densitometer มีหลายแบบ  แต่ที่นิยมใช้คือแบบที่เรียกว่า Dual Energy X-ray Absorptiometry scanner หรือ DEXA scanner  ตำแหน่งที่ตรวจ คือ บริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และบริเวณข้อมือ เนื่องจากบริเวณเหล่านี้เป็นบริเวณที่พบว่ามีการแตกหักของกระดูกจากภาวะกระดูกพรุนได้บ่อย

3. ไทรอยด์คลินิก

มะเร็งต่อมไทรอยด์มีหลายชนิด  แต่ส่วนใหญ่แล้วมะเร็งต่อมไทรอยด์มักเป็น ชนิด papillary  และ follicular  ซึ่งสามารถรักษาได้และผลการรักษาอยู่ในระดับดีมาก ดีมากในทีนี้คือมีรายงานว่า อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ เป็นระยะ 20 ปี มีสูงถึงประมาณ 80% ซึ่งถือว่าสูงมาก ซึ่งเมื่อเทียบมะเร็งทั่วๆไป การรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ ชนิด จะประกอบด้วย

  • การผ่าตัดต่อมไทรอยด์
  • การรับประทานสารรังสีไอโอดีน : หลังการผ่าตัดต่อมไทรอยด์แล้วต้องรักษาต่อด้วยวิธีการรับประทานสารรังสีไอโอดีน (I-131) ซึ่งปัจจุบันรังสีไอโอดีนมี 2 รูปแบบ คือแบบเม็ดแคปซูล และ ของเหลว   
  • การรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์ :  หลังการรักษาด้วยสารรังสีไอโอดีน (I-131) ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาฮอร์โมนไทรอยด์อย่างสม่ำเสมอตลอดชีวิต

คลินิกในเวลาราชการ

    1. การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์และการตรวจความหนาแน่นของกระดูก
      ให้บริการ วันจันทร์ – วันศุกร์  เวลา 08.00 – 16.00 น. ที่ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 2 โซน A

    1. ไทรอยด์คลินิก
      ให้บริการ วันจันทร์ – วันศุกร์  เวลา 08.00 – 16.00 น. ที่ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 3 โซน A

 

โครงการตรวจนอกเวลาราชการ

    1. การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์และการตรวจความหนาแน่นของกระดูก
      ให้บริการ วันจันทร์ – วันศุกร์  เวลา 16.00 – 19.00 น. ที่ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 2 โซน A

 

คลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ

    1. การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ การตรวจความหนาแน่นของกระดูกและไทรอยด์คลินิก
      ให้บริการ วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 16.00 – 19.00 น. วันเสาร์ – วันอาทิตย์ เวลา 08.00 – 12.00 น.
      ที่ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 2 โซน A

ชื่อฝ่าย/ศูนย์

เวชศาสตร์นิวเคลียร์

 

เบอร์โทรศัพท์

02-256-4000 ต่อ 80233, 80234
02-256-4000 ต่อ 80301, 80302 (ไทรอยด์คลินิก ในเวลาราชการเท่านั้น)

 

เว็บไซต์หน่วยงาน

http://radiology.md.chula.ac.th/nuclearmedicine/

บทความที่เกี่ยวข้อง

มอบชุดป้องกัน Coverall และหน้ากาก Face Shield

บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (CP) มอบชุดป้องกัน Coverall และหน้ากาก Face Shield แก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

คุณภัทรา โพธิเวชกุล มอบเงินบริจาค

คุณภัทรา โพธิเวชกุล มอบเงินบริจาค เพื่อบำรุงและจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

รพ.จุฬาลงกรณ์ จัดกิจกรรม วันนักกำหนดอาหาร

ฝ่ายโภชนวิทยาและโภชนบำบัด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จัดกิจกรรม วันนักกำหนดอาหาร (ASIAN DIETITIAN'S DAY) ประจำปี 2568 ภายใต้โครงการ “Say No to Obesity หยุดอ้วน หยุดโรค”

ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์