
วัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV) เป็นวัคซีนที่ใช้ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี อันเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับ 2 ในผู้หญิงไทย รองจากมะเร็งเต้านมสำหรับในเพศหญิงสามารถป้องกันมะเร็งปากช่องคลอด ช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปากและคอหอย ส่วนผู้ชายก็สามารถฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวีได้เช่นกัน เพื่อป้องกันมะเร็งองคชาต ทวารหนัก และช่องปากและคอหอย
วัคซีนป้องกันเอชพีวีมีกี่ประเภท
ปัจจุบันวัคซีนป้องกันไวรัส เอชพีวีมี 2 ชนิด ได้แก่
1 วัคซีน ชนิด 4 สายพันธุ์
สามารถป้องกันไวรัสที่เป็นสาเหตุของ
มะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70%
1 วัคซีน ชนิด 9 สายพันธุ์
สามารถป้องกันไวรัสที่เป็นสาเหตุของ
มะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 90%
นอกจากนี้ ทั้งวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์และชนิด 9 สายพันธุ์ ยังสามารถป้องกันโรคหูดหงอนไก่ของอวัยวะเพศและทวารหนักของทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้อีกด้วย
เด็กวัยใดควรเริ่มฉีดวัคซีนเอชพีวี
- วัคซีนเอชพีวีสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป
- แนะนำให้ฉีดในเด็กก่อนถึงวัยที่มีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนในช่วงอายุ 11-12 ปี จะได้ประโยชน์ในการป้องกันสูงที่สุด เพราะเป็นการป้องกันก่อนที่จะมีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้มากที่สุด
กำหนดการฉีดวัคซีนเอชพีวีในแต่ละช่วงอายุ
- ก่่อนอายุุ 15 ปี (ก่อนวันเกิดครบอายุ 15 ปี) ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน
- หลังอายุุ 15 ปี ฉีด 3 เข็ม ที่ 0, 2 และ 6 เดือน
- ถ้ามีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง แนะนำให้ฉีด 3 เข็ม ที่ 0, 2 และ 6 เดือน โดยไม่คำนึงถึงอายุ
- กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีในเด็กหญิงอายุ 11-12 ปี เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักโดยฉีด 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน
- หากเป็นวัคซีน 2 สายพันธุ์ ฉีด 3 เข็มที่ 0, 1 และ 6 เดือน (หรือจะฉีดที่ 0, 2 และ 6 เดือนก็ได้)
ผลข้างเคียง
- วัคซีนมีความปลอดภัยสูง ยังไม่พบว่ามีการเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนโดยตรง
- อาการข้างเคียงที่พบบ่อย คือ ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดยา ซึ่งไม่รุนแรง อาการจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน
- อาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบ ได้แก่ เป็นไข้ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ซึ่งไม่รุนแรงและหายได้เอง
ข้อมูลโดย:

อ.พญ.ณัฐชา พูลเจริญ
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย