แม้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากการกระจายวัคซีนไปยังสถานที่ต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามในวงการการแพทย์ยังคงต้องติดตาสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019
ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤกษาดี รองหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยอธิบายถึงการกลายพันธุ์ของไวรัสว่า โดยทั่วไปอาจเกิดจาก
การแบ่งตัวของไวรัสในธรรมชาติที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงชนิดของสารพันธุกรรมได้ ซึ่งในบางครั้งอาจก่อให้เกิดผลต่อการแบ่งตัว คุณสมบัติในการแพร่กระจายเชื้อ ความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ปัจจัยทางการรักษายังสามารถเป็นอีกสาเหตุในการกลายพันธุ์ของไวรัสได้อีกด้วย
ทั้งนี้ จากการศึกษารหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) อย่างต่อเนื่องของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทำให้มีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่มากกว่า 800 ชนิด โดยบางสายพันธุ์นั้นสามารถแพร่กระจายโรคได้รวดเร็วกว่า รุนแรงกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมและอาจไม่ตอบสนองต่อวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
พบ 3 สายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 มีการกลายพันธุ์
ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา มีการรายงานการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดูแลผู้ป่วยและการป้องกันโรคที่สำคัญรวม 3 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ
- สายพันธุ์ B.1.1.7 หรือ N501Y จากประเทศอังกฤษ
- สายพันธุ์ B.1.351 หรือ 501Y.2 จากประเทศแอฟริกาใต้
- สายพันธุ์ P1 จากประเทศบราซิล โดยพบครั้งล่าสุดในผู้โดยสารที่เดินทางในสนามบินประเทศญี่ปุ่น
จากข้อมูลในฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมของไวรัสโคโรนา 2019 ใน GISAID พบว่าประเทศไทยมีการรายงานรหัสพันธุกรรมของไวรัสแบบทั้งจีโนม (Whole Genome) รวม 460 sequences จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วประเทศทั้งสิ้น 13,302 คน หรือร้อยละ 3.46 (ข้อมูล ณ วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2564) สายพันธุ์ส่วนใหญ่ที่พบคือ กลุ่ม clade S โดยได้ตัวอย่างมาจากผู้ป่วยที่พบการระบาดในประเทศไทยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนและได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธี PCR เพื่อการรักษาโรคแต่ไม่ได้นำมาถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อศึกษาสายพันธุ์ไวรัสการกลายพันธุ์ของไวรัสจึงจำเป็นต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะบางกรณีอาจจะส่งผลต่อการกระจายตัวของไวรัสตลอดจนระดับความรุนแรงของโรค อีกทั้งการวินิจฉัยยังทำได้จากการตรวจทางห้องปฏิบัติกาเท่านั้น ดังนั้นการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 อย่างใกล้ชิดจึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญ
การเตรียมพร้อมของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย
ผศ.นพ.โอภาส กล่าวถึงการติดตามสถานการณ์การกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และยังได้มีการจัดทำโครงการเฝ้าระวังไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) สายพันธุ์กลายพันธุ์เพื่อเฝ้าระวังไวรัสทั้งที่พบการกลายพันธุ์แล้วจากต่างประเทศ รวมทั้งสายพันธุ์ใหม่ที่อาจพบครั้งแรกในประเทศไทย โดยร่วมมือกับเครือข่ายโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีประวัติการเดินทางมาจากต่างประเทศ และกองด่านควบคุมโรค กรมควบคุมโรค รวมถึงผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลไวรัสโคโรนา 2019 ที่พบในประเทศไทยให้ทันสมัยอยู่เสมอ พร้อมกันนี้ยังจัดสร้างฐานข้อมูล Clinical Genomics Integration Platform (CGIP) สำหรับหน่วยงานเครือข่ายที่จะสามารถเข้าใช้งานเพื่อประกอบการวินิจฉัย รักษาและควบคุมโรคในอนาคต
แนวทางการดำเนินการเหล่านี้นอกจากจะสร้างความเชื่อมั่นในการให้บริการของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยแล้ว ยังเป็นการยกระดับการเฝ้าระวังโรคโควิด-19 ให้ประเทศไทยสามารถมีความพร้อมในการป้องกันและการตรวจคัดกรองผู้ป่วยตั้งแต่ระยะแรก (Early Detection) ก่อนการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดูแลผู้ป่วย ประสิทธิภาพของวัคซีน ตลอดจนศักยภาพของการป้องกันและควบคุมโรค