การบริการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านม
การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์เต้านม หรือเรียกว่าการทำแมมโมแกรม (Mammogram) เป็นวิธีตรวจมะเร็งเต้านมที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพที่สุด โดยเครื่องมือจะใช้รังสีในปริมาณน้อยแต่ยังคงสามารถให้รายละเอียดของเต้านมได้ดี ทำให้สามารถตรวจพบมะเร็งระยะแรกได้ตั้งแต่ยังคลำไม่พบก้อน และใช้เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคในผู้ที่มีอาการทางเต้านม เช่น คลำได้ก้อน มีน้ำไหลทางหัวนม หรือปวดเต้านม เป็นต้น
โรคมะเร็งเต้านมเป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อยในสตรี ซึ่งสามารถตรวจหาความผิดปกติเบื้องต้นได้โดยการตรวจเต้านมด้วยตนเองด้วยวิธีที่ถูกต้องได้ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป และผู้หญิงที่มีลักษณะเข้าข่ายเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม ดังต่อไปนี้ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยทุก 1 ปี โดยควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 35 ปีเป็นต้นไป
ผู้มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม คือ
- ผู้ที่มีญาติสายตรงมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม เช่น มารดา พี่สาว ยาย เป็นต้น ควรเริ่มตรวจเมื่ออายุครบ 35 ปี หรือตรวจเมื่ออายุถึง 10 ปีก่อนอายุของญาติที่มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม
- ผู้ที่ได้รับยาฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมแล้วหนึ่งข้าง
- ผู้ที่ได้รับการเจาะชิ้นเนื้อแล้วพบภาวะความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
การเตรียมตัวก่อนตรวจ
- ผู้ป่วยงดการทาแป้งบริเวณเต้านม หน้าอก และรักแร้ รวมถึงยาและสเปรย์ระงับกลิ่นกาย เนื่องจากมีสารที่จะให้ลักษณะเหมือนกับหินปูนซึ่งเป็นความผิดปกติที่พบในมะเร็งเต้านมจากภาพแมมโมแกรม ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนได้
- ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม คือช่วง 7-14 วันหลังจากมีประจำเดือน
วิธีการตรวจ
- ผู้ป่วยจะได้รับการถ่ายภาพในท่ามาตรฐาน 2 ท่า และท่าเพิ่มเติมอื่นๆ ตามความจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละคน
- ขณะที่ถ่ายภาพ ผู้ป่วยจะต้องยืนนิ่งและถูกกดเต้านมด้วยเครื่องมือข้างละประมาณ 5 วินาที ซึ่งผู้ป่วยควรผ่อนคลายและไม่เกร็งเพื่อป้องกันอาการเจ็บปวดจากการถูกกด และให้ภาพที่ได้จากการตรวจมีรายละเอียดที่ครบถ้วนชัดเจน โดยระหว่างการตรวจจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปให้คำแนะนำในการจัดท่าก่อนถ่ายภาพ
- ผู้ป่วยจะได้รับผลการตรวจอัลตร้าซาวน์เต้านมจากห้องตรวจภายใน 15-20 นาที
- ผู้ป่วยสามารถขอรับผลการตรวจอย่างเป็นทางการได้ในที่ทำการตรวจในกรณีเร่งด่วน หรือพบแพทย์ตามวันที่นัดหมาย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการแมมโมแกรม ได้ที่
หน่วยวินิจฉัยโรคเต้านม ฝ่ายรังสีวิทยา
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
โทรศัพท์ 02 256 4259
การบริการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
การทำ CT Scan หรือ (Computer Tomography) คือ การตรวจสแกนร่างกายด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อหาความผิดปกติในบริเวณที่เฉพาะเจาะจง เช่น ตรวจหามะเร็งช่องท้อง ตรวจสแกนสมอง เป็นต้น โดยใช้หลักการส่งรังสีเอกซ์จากหลอดเอกซเรย์ (X-ray tube) หมุนรอบผ่านอวัยวะนั้นๆ ไปยังหัววัดรังสี (Detector) ที่อยู่ตรงกันข้าม แล้วใช้ตัวตรวจจับปริมาณรังสีที่ผ่านตัวผู้ป่วยออกมา เพื่อตรวจวัดผลความหนาแน่นของอวัยวะส่วนที่ต้องการตรวจสอบ จากนั้นจึงแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อสร้างภาพด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่คอมพิวเตอร์รวบรวมได้จะถูกวิเคราะห์เป็นภาพลักษณะตัดขวางที่ซอยเป็นแผ่นบางๆ ทำให้เห็นรายละเอียดด้านใน โครงสร้างของอวัยวะ และความผิดปกติต่างๆ ได้ชัดเจนกว่าภาพเอกซเรย์ทั่วไป โดยสามารถสร้างภาพ 3 มิติ หรือสร้างภาพในระนาบอื่นๆ เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคที่แม่นยำยิ่งขึ้น
การเตรียมตัวก่อนตรวจ
- งดน้ำและอาหารก่อนการตรวจ 6 ชั่วโมง
- หากผู้ป่วยเข้าข่าย หรือ มีแนวโน้มจะเข้าข่ายกรณีต่อไปนี้ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่เวลามาทำนัด หรือก่อนการตรวจในทันที
- สตรีตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้สารทึบรังสี
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้อาหารทะเล
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้ยาอื่นๆ
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติโรคประจำตัวต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด และลมบ้าหมู เป็นต้น
- ผู้ป่วยต้องมีผลการทำงานของไต (Creatinine) ก่อนการตรวจไม่เกิน 3 เดือน
- ผู้ป่วยที่ตรวจช่องท้องส่วนบนและล่าง จะต้องดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของสารทึบรังสีเพื่อเคลือบลำไส้ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ารับการตรวจ
วิธีการตรวจ
- ผู้ป่วยจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำขั้นตอนการตรวจก่อนเข้ารับการตรวจ
- หลังตรวจ ผู้ป่วยควรดื่มน้ำสะอาดทันทีหรือโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เป็นเวลา 2 วัน (ยกเว้นในรายที่แพทย์จำกัดปริมาณน้ำดื่ม)
- ผู้ป่วยจะได้รับผลจากห้องตรวจภายใน 3 วันทำการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการ CT Scan ได้ที่
หน่วยงานธุรการบริการรังสีวิทยาวินิจฉัย
อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 2
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
โทรศัพท์ 02 256 4000 ต่อ 80201, 80202
หรือ กรณีนัดตรวจที่อาคารวัตบริบาล
โทรศัพท์ 02 256 4778
วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 8.00 น. – 16.00 น.
(ยกเว้นวันหยุดตามประกาศของราชการ)
หรือ คลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 16.00 น. – 22.00 น.
วันเสาร์ เวลา 08.00 น. – 16.00 น.
การบริการตรวจด้วยเครื่องคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (MRI)
การตรวจด้วยเครื่องคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) หรือ MRI คือ การตรวจวินิจฉัยโรคด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า โดยเครื่องจากคลื่นวิทยุที่มีความถี่จำเพาะจะเข้าไปกระตุ้นระบบอวัยวะที่ต้องการตรวจ และวัดระดับพลังงานจากไฮโดรเจนอะตอมภายในร่างกายซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงตามขบวนการทางฟิสิกส์ที่เรียกว่าการกำทอน (Resonance) แล้วแปลงขึ้นเป็นภาพ ซึ่งข้อมูลจะมีความชัดเจนมากกว่าการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เพราะสามารถระบุความแตกต่างของเนื้อเยื่อได้ดี ทำได้หลายระนาบ สร้างภาพ 3 มิติได้ และสามารถใช้ตรวจได้ทุกระบบของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของระบบสมอง เช่น ตรวจหาโรคเนื้องอกในสมอง ระบบประสาท และกระดูกสันหลัง อีกทั้งมีเทคนิคการตรวจพิเศษหลากหลาย เช่น การตรวจสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะสมองขาดเลือดแบบเฉียบพลัน การตรวจหาระดับชีวเคมีเพื่อแยกชนิดของก้อนเนื้อ และการตรวจหลอดเลือดทั่วร่างกาย เป็นต้น
การเตรียมตัวก่อนตรวจ
- งดน้ำและอาหารก่อนการตรวจ 6 ชั่วโมง สำหรับผู้ป่วยนัดตรวจท้องส่วนบน (Liver + <R Elastrography) การตรวจท่อและถุงน้ำดี (MRCP) การตรวจหลอดเลือดหัวใจ (Stress Cardiac MRI) และผู้ป่วยเด็กที่ต้องดมยาสลบ
- หากผู้ป่วยเข้าข่าย หรือ มีแนวโน้มจะเข้าข่ายกรณีต่อไปนี้ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่เวลามาทำนัด หรือก่อนการตรวจในทันที
- สตรีตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้สารทึบรังสี
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้ยาอื่นๆ
- ผู้ป่วยเคยมีประวัติโรคประจำตัวต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด และลมบ้าหมู เป็นต้น
- ผู้ป่วยต้องมีผลการทำงานของไต (Creatinine) ก่อนการตรวจไม่เกิน 3 เดือน
- ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการนำโลหะ ได้แก่ เครื่องประดับ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ นาฬิกา บัตรเครดิต พวงกุญแจ เหรียญบาท หรือสิ่งอื่นๆ ที่เป็นโลหะทั้งหมด ติดตัวเข้ามาในห้องตรวจรังสีด้วย รวมถึงผู้ป่วยสุภาพสตรีควรเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนเข้าห้องตรวจ โดยเฉพาะสีทาเปลือกตา (Eye shadow) และมาสคารา เนื่องจากมีส่วนผสมของโลหะ
วิธีการตรวจ
- ผู้ป่วยต้องนอนให้นิ่งที่สุดบนเตียงตรวจเพื่อคุณภาพของภาพที่สามารถนำไปวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และลดเวลาในการตรวจ โดยมีนักรังสีการแพทย์คอยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือในการจัดท่านอน ควรงดพูดคุยระหว่างที่เครื่องกำลังทำงาน
- การตรวจช่องท้องหรือหัวใจ จะต้องมีการกลั้นหายใจผ่านคำสั่งทางไมโครโฟนเพื่อลดการเคลื่อนไหวของอวัยวะภายใน ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการซักซ้อมจากเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าห้องตรวจรังสี
- หากต้องมีการฉีดสารเปรียบเทียบความชัดเข้าทางหลอดเลือดดำเพื่อช่วยเน้นแยกรายละเอียดของโรค ผู้ป่วยจะได้รับการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนเข้าตรวจทุกครั้ง
- หลังตรวจผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ตามปกติ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการ MRI ได้ที่
- หน่วยงานธุรการบริการรังสีวิทยาวินิจฉัย อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 2
โทรศัพท์ 02 256 4000 ต่อ 80201, 80202 หรือ กรณีนัดตรวจที่อาคารวัตบริบาล โทรศัพท์ 02 256 4778
เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 08.00 – 16.00 น. (ยกเว้นวันหยุดตามประกาศของราชการ)
- คลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ
วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 16.00 – 19.00 น.
วันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 07.00 – 16.00 น.